CutieGirl

5วิธีแก้ปัญหาลูกติดหน้าจอ พ่อแม่ควรรับมืออย่างไร

การเลี้ยงลูกสมัยนี้ชั่งแตกต่างจากสมัยก่อนจริงๆ เพราะสมัยนี้โลกได้เปลี่ยนไปมาก และเทคโนโลยีเข้ามามีบทบาทในชีวิตจริงๆ เด็กเล็กๆรู้จักเล่นโซเชียลมีเดียต่างๆ ทุกครอบครัวจะมีโทรศัพท์มือถือ,ไอแพต,โน๊ตบุค บางครั้งพ่อแม่เหนื่อยจากการทำงาน ลูกงอแงอยากเล่นโทรศัพท์ พอลูกได้เล่นโทรศัพท์ปุ๊บลูกนิ่งเงียบไม่โวยวาย และไม่สนใจอะไรเลย ไม่สนใจสิ่งต่างๆรอบข้าง หากเด็กเล่นมากๆหลายชั่วโมง มีความเสี่ยงต่อสมาธิสั้น และปัญหาตามมาพ่อแม่ควรแก้ไขอย่างไรกับปัญหาเหล่านี้ 1.พ่อแม่เป็นตัวอย่างที่ดี หากจะพูดไปแล้วโลกเปลี่ยนไป โชเชียลมีเดียนั้นมีบทบาทสำคัญกับทุกคนจริงๆ นอกจากจะใช้เพื่อการติดต่อสื่อสารการส่งงานทางเมลล์ หรือบางครั้งอยากเช็คโชเชียลมิเดีย เช่น Facebook,instagram,TikTok เพื่อผ่อนคลาย แต่ในระหว่างที่เราเช็คโทรศัพท์นั้นลูกน้อยจะมักอยู่ข้างๆเสมอ และอยากรู้อยากเห็นสิ่งที่เรากำลังดู เพราะเขาคือวัยกำลังเรียนรู้ บางครอบครัวลูกไม่ยอมกินข้าวและเปิด YouTube หาเพลงสนุกๆ หลอกล้อให้ลูกกินข้าว ทำให้ลูกสนใจมากขึ้น ความจริงแล้วไม่ดีนะค่ะ หากจะกินข้าวต้องเปิดโทรศัพท์ จะทำให้ลูกเรียนรู้ต้องเปิดโทรศัพท์เสมอ หากจะเป็นตัวอย่างที่ดีให้ลูกเห็นพ่อกับแม่ควรเป็นแบบอย่างให้แก่ลูก ไม่ควรจับโทรศัพท์ให้ลูกเห็นบ่อยๆ ควรเช็คโชเชียวมีเดียเมื่อลูกหลับ หรือ หากต้องใช้โทรศัพท์จริงๆเวลาตอบเมลล์ ตอบไลน์ หรือสื่อต่างๆควรให้ลูกหลับแล้วหรืออาจคุยงานในห้องน้ำเพื่อไม่ให้ลูกเห็น ให้เขาได้เรียนรู้ว่าพ่อกับแม่ไม่ได้สนใจโทรศัพท์มือถือเช่นกัน 2.วันละไม่เกิน 1 ชั่วโมง ความเป็นจริงผู้ปกครองควรให้ลูกดูได้แต่ไม่นาน ไม่ควรเกินวันละ 1 ชั่วโมงพอ หรือให้ดูสัปดาห์ละ 1 ครั้งพร้อมกันกับผู้ปกครองในวันหยุดสุดสัปดาห์ครั้งละ 2 ชั่วโมงต่อสัปดาห์ 3.ให้เวลาลูกทำกิจกรรมร่วมกัน พ่อแม่ควรมีเวลาให้กับลูก หากิจกรรมทำร่วมกับลูกน้อย […]

7ข้อสงสัย ตั้งครรภ์ออกกำลังกายได้ไหม

หลายคนอาจยังลังเลและไม่แน่ใจ คนท้องออกกำลังกายได้ไหม ออกกำลังกายจะแทงลูกไหม ผู้หญิงตั้งครรภ์ไม่ได้เป็นโรค แต่คือการตั้งครรภ์คือ การแปลงแปลงทางด้านร่างกายและสรีระ ผู้หญิงหลายคนจึงหยุดทำกิจกรรมต่างๆ เพราะกลัวเกิดอันตราย กลัวการแท้งลูก ความเป็นจริงมันตรงกันข้ามกับสิ่งที่เราคิด ความเป็นจริงมีตำรามากมายที่บอกว่าหญิงตั้งครรภ์สามารถออกกำลังกายได้ แต่ควรเลือกออกกำลังกายให้เหมาะสม การออกกำลังกายมีประโยชน์มากมาย หากร่างกายคุณแข็งแรง สามารถลดความเสี่ยงที่อาจเกิดขึ้นของการตั้งครรภ์อีกด้วยแต่ในขณะเดียวกันหากไม่มั่นใจควรปรึกษาแพทย์ผู้เชียวชาญ 1.แอโรบิกและยกเวทได้ สำหรับคนที่ไม่เคยออกกำลังกายมาก่อน พึ่งเริ่มออกกำลังกาย แนะนำให้เต้นแอโรบิกคะ คุณแม่สามารถเต้นแอโรบิกแต่ไม่เต้นอย่างสุดแรง ความเต้นระดับกลางๆอย่างสม่ำเสมอ สามารถเต้นได้ 20 นาทีทุกวันหากร่างกายเคยออกกำลังกายเป็นประจำอยู่แล้วสามารถออกกำลังกายแบบเต้นแอร์โรบิกได้อย่างที่คุณทำมาสัปดาห์ละ150นาทีโดยประมาณ นอกจากนี้คุณยังสามารถออกกำลังกายแบบยกเวทได้ สามารถเลือกเวทที่มีขนาดเบา การยกเวทจะช่วยเสริมความเเข็งแรงของกล้ามเนื้อ หากกล้ามเนื้อ และร่างกายแข็งแรงจะทำให้คลอดบุตรง่าย ร่างกายแข็งแรงจะสามารถฟื้นตัวได้เร็วมากขึ้น แต่หากคุณแม่ไม่มีประสบการณ์เล่นเวทมาก่อน แนะนำให้เข้ารับการฝึกการอบรมรับคำแนะนำสำหรับหญิงตั้งครรภ์ก่อนเล่น 2.สามารถว่ายน้ำและวิ่งจ๊อกกิ้งได้ วิธีน้ำเหมาะกับคนท้องมากที่สุดคือ การว่ายน้ำ เหมาะสำหรับคนท้อง เพราะช่วยขยับร่างกายส่วนต่างๆอย่างอ่อนโยน การว่ายน้ำสามารถออกกำลังกายทุกๆส่วนของร่างกาย เพิ่มความแข็งแกร่งของร่างกาย และควรว่ายน้ำในระดับปานกลาง การออกกำลังกายเพื่อเพิ่มความแข็งแรงและโดยเฉพาะอย่างยิ่งการเพิ่มความแข็งแรงของอุ้งเชิงกราน และยังสามารถเดิน วิ่งจ๊อกกิ้งได้แต่อย่าหักโหมจนเกินไป 3.โยคะได้ การเล่นโยคะดีสำหรับหญิงตั้งครรภ์มากๆ เพราะทำให้คุณแม่รู้สึกดีขึ้น ใจเย็น รู้สึกผ่อนคลาย และทำให้มีสมาธิ ช่วยเสริมความแข็งแรงของกล้ามเนื้อให้แข็งแรง ทำร่างกายมีความยืดหยุ่น ทำให้คลอดลูกง่าย ลดการเจ็บปวดได้ 4.ตั้งครรภ์ไม่ควรออกกำลังกาย? หญิงตั้งครรภ์หลายคนอาจพบกับปัญหา […]

11 ประโยชน์น่าทึ่งของน้ำขิง สร้างภูมิคุ้มกัน ดื่มทุกวันห่างไกลโรคร้าย

หากจะพูดถึง ขิง (ginger) เป็นอีกหนึ่งสมุนไพรเครื่องเทศที่มีประวัติยาวนาน เป็นสิ่งที่มีติดก้นครัวเสมอมา สามารถหาซื้อได้ง่ายตามท้องตลาด สามารถนำมาต้มดื่ม ดื่มน้ำขิงอุ่นๆเพื่อสุขภาพ เพราะขิงมีสารต่อต้านอนุมูลอิสระ ช่วยเสริมสร้างภูมิคุ้มกันได้ อีกทั้งมีทั้งวิตามิน เอ, บี, ซี, และธาตุฟอสฟอรัส, ธาตุแคลเซียม เป็นต้น เเละยังมีแร่ธาตุที่จำเป็นต่อร่างกาย หรือ นำมาประกอบอาหารได้ด้วยเช่นกัน ในด้านการแพทย์ มีการใช้ขิงในแพทย์ทางเลือกอีกหลายรูปแบบ เช่น เพื่อช่วยในการย่อยอาหาร ท้องอืดท้องเฟ้อ ช่วยบรรเทาอาการคลื่นไส้อาเจียน ในสถานะการแบบนี้ (covid-19) ใครๆก็มองหาตัวช่วยดีที่จะสร้างภูมิคุ้มกันให้แข็งแรง ซึ่งขิงสามารถต่อสู้กับไข้หวัดได้เป็นอย่างดี ขิงยังมีสรรพคุณอีกมากมาย ประโยชน์ของน้ำขิง 1.น้ำขิง ลดอาการปวดท้องประจำเดือน ปัญหาของสาวๆส่วนใหญ่เมื่อประจำเดือนมา มักจะมีอาการปวดท้องใช่ไหมละค่ะ รู้สึกปวดเมื่อยร่างกาย ไม่มีแรงที่จะลุกออกจากที่นอน อ่อนเพลีย อาจปวดมากจนต้องทานยาแก้ปวด หรือ พึ่งถุงน้ำร้อนเลยที่เดียว รู้หรือไม่ หากปวดท้องประจำเดือน ขิง หรือน้ำขิง เป็นอีกตัวช่วยที่ทำให้สาวๆบรรเทาอาการปวด หากทานน้ำขิง หรือขิง วันละ 1 ครั้ง 3 วันในระหว่างที่มีรอบเดือน น้ำขิง […]

9 ประโยชน์ของการวิ่ง40-50นาที สุขภาพดีห่างไกลจากโรคร้าย

ในปัจจุบันผู้คนหันมารักสุขภาพกันมาขึ้น การเดินและการวิ่ง เป็นกิจกรรมดีๆที่ผู้คนให้ความสนใจ การวิ่งยังช่วยให้กล้ามเนื้อแข็งแรง ดีทั้งสุขภาพกายและจิตใจ แถมยังมีหุ่นที่น่าอิจฉาเพียงแค่วิ่งวันละ 40-50 นาที บางคนอาจไม่มีเวลาอย่างน้อย ควรวิ่ง 3-4 วันต่อสัปดาห์ ถือเป็นกิจกรรมดีๆที่ไม่ต้องเสียเงิน ได้สูดอากาศที่ถ่ายเท ได้พบเพื่อนใหม่ๆ  9 ประโยชน์ของการวิ่งมีอะไรบ้างไปอ่านกันเลยค่ะ 1.ช่วยให้ระบบไหลเวียนเลือดดีขึ้น นอกจากจะเพิ่มความฟิตของร่างกายแล้ว การวิ่ง ยังช่วยรักษาระบบไหลเวียนเลือดให้เป็นปกติ ใบหน้าสีแดงดูมีเลือดฝาดเพราะออกซิเจนในเลือดนั้นวิ่งไปที่พื้นผิวช่วยเพิ่มออกซิเจนทส่งผลให้การหายใจดีขึ้น และหัวใจแข็งแรง ทำให้ร่างกายส่วนต่างๆทำงานได้ดีขึ้น 2.อารมณ์ดี ลดความเครียด ความเครียดสามารถเกิดขึ้นได้กับทุกๆคน แต่เมื่อความเครียดเกิดขึ้นแล้วควรหาทางออกให้กับตัวเอง ไม่ควรคิดฟุ้งซ้านกับความเครียด ไม่มีอะไรดีขึ้น รู้ไหมค่ะว่า การวิ่งนั้นช่วยบำบัดความเครียดได้ การวิ่งช่วยให้อารมณ์ดีขึ้น สภาพจิตใจดีขึ้น ในขณะที่เราวิ่งสติจะจดจ่อกับการวิ่ง และปลดปล่อยสารเอ็นโดฟินออกมา นั่นคือสารแห่งความสุข เมื่อกลับมาถึงบ้านจะรู้สึกดีขึ้น นอกจากร่างกายจะเเข็งแรงแล้ว ยังทำให้อารมณ์ดีอีกด้วย ไปวิ่งกันค่ะ 3.ช่วยให้หัวใจแข็งแรง ลดความเสี่ยงการเกิดโรค การวิ่งวิ่งจ๊อกกิ้ง หรือแค่เดินบ่อยๆทุกๆวันนอกจากจะช่วยให้หัวใจแข็งแรงแล้ว ยังช่วยให้ลดความเสี่ยงจากโรคหัวใจวาย โรคหลอดเลือดในสมองอีกด้วย 4.มีเวลาให้ตัวเองมากขึ้น การวิ่งนอกจากจะทำให้สุขภาพกายและใจดีแล้ว ยังมีเวลาให้กับตัวเองมากขึ้น และวันไหนที่ไม่ได้ออกกำลังกายจะรู้สึกว่าขาดอะไรบางอย่าง กระวนกระวายอยากออกกำลังกาย นั่นคือสิ่งที่ดีงาม เพราะคุณรักสุขภาพและรักตัวเองมากขึ้น 5.รูปร่างดี […]

7 ข้อห้าม ทำไมคุณไม่ควรนอนตอนผมเปียก

หากคุณเป็นเด็กมักจะได้ยินคุณผู้ใหญ่บอกเสมอว่า ไม่ควรผมเปียกก่อนนอนนะจะเป็นหวัด การนอนตอนผมเปียกจะทำให้ป่วย เป็นไปได้สูงที่คุณจะไม่ค่อยสนใจกับคำเตือนเหล่านี้ การนอนหลับทั้งที่ผมยังเปียก เชื่อว่าเคยเกิดขึ้นกับหลายคน  คุณต้องออกไปทำงานแต่เช้าตรู่ ไม่มีเวลามากสำหรับสระผมตอนเช้ากลับมาบ้านตอนเย็นยังคงยุ่งกับการทำอาหาร ทำความสะอาด หรือ พาเด็กๆเข้านอน อาบน้ำสระผม คุณอาจไม่ต้องการส่งเสียงดังจากการเป่าผมให้แห้ง หรือคุณไม่มีแรง เหนื่อยแล้วเผลอหลับไปในที่สุด หากผมเปียกแล้วนอนจะเกิดอะไรขึ้น ทำไมคุณไม่ควรนอนตอนผมเปียก 1. อาจทำให้ผมร่วง และแตกปลาย ผมเปียกจะอ่อนแอมาก เส้นผมจะอ่อนแอที่สุดเมื่อเปียกและจะทำให้ผมแตกปลายมากขึ้น เคยสงสัยไหมว่าไม่เคยไดร์ด้วยความร้อน ไม่เคยหนีบผมทำไมผมแตกปลาย เพราะปล่อยให้ผมเปียกขณะนอนหลับ ขณะที่คุณหลับ การพลิกตัวไปมา การเสียดสีจะทำให้ผมขาดหลุดร่วงได้ง่ายกว่าถ้าผมของคุณแห้ง คุณอาจคิดว่าการปล่อยให้ผมแห้งด้วยลมดีกว่า 2. ทำให้เกิดรังแค รังแคไม่ใช่แค่แชมพู ความร้อนที่หนังศีรษะบวกกับ ผมที่เปียกชื้นเป็นเวลานานๆจะทำให้เกิด แบคทีเรีย เชื้อรา เพิ่มขึ้นบนหนังศีรษะทำให้แบคทีเรียเติบโตขึ้น และการสูญเสียน้ำมันตามธรรมชาติจากผมเปียกจะทำให้หนังศีรษะของคุณมีแนวโน้มที่จะเกิดรังแคมากขึ้นโดยเฉพาะอย่างยิ่ง กลากเกลื้อนที่หนังศีรษะเป็นการติดเชื้อราที่เกิดจากสภาวะที่ผมเปียกอบอุ่นและชื้น เป็นโรคติดต่อได้  สาเหตุทั้งหมดไม่ใช่แค่แชมพู ดังนั้นควรเป่าผมให้แห่งก่อนนอนทุกครั้ง ก่อนที่จะเกิดอาการคันตามมา 3. ระบบภูมิคุ้มกันของคุณแย่ลง เรื่องเล่าของผู้ใหญ่ที่มักเตือนเสมอ ที่จะทำให้คุณไม่สบาย ปวดหัว มีไข้ หรือเป็นหวัดจากการนอนขณะที่ผมเปียกนั้นไม่เป็นความจริงทั้งหมด คุณไม่สามารถติดไวรัสได้เพียงแค่ผมเปียก แต่หมายถึง การนอนกับผมเปียกอาจทำให้ระบบภูมิคุ้มกันอ่อนแอลง ซึ่งทำให้มีโอกาสเป็นหวัดมากขึ้น 4. […]

9วิธี ผ่อนคลายให้หายเครียด

ความเครียดคืออะไร ความเครียด คือ การตอบสนองของร่างกาย ด้านร่างกายและด้านจิตใจ และเกิดความเครียดเกิดขึ้น เมื่อเราต้องเผชิญกับความกดดัน ทั้งทางร่างกายจิตใจ และอารมณ์ ความเครียดมีโอกาสเกิดขึ้นได้กับทุกคน ทุกที่ ทุกเวลา อย่าปล่อยให้ความเครียดมีอิทธิพลทางลบต่อชีวิตต่อเนื่องยาวนาน ควรจัดการกับความเครียด อย่าปล่อยให้ชีวิตไม่มีความสุข อาการ 1.เบื่ออาหาร หรือ กินอาหารได้น้อยลง กินอะไรก็ไม่อร่อย 2.นั่งไม่ได้ นอนไม่หลับ คิดมาก พลิกตัวไปมา 3.กังวลใจตลอดเวลา คิดเรื่องเดิมวนไปมาซ่ำๆ 4.อารมณ์ไม่ดี หงุดหงิดตลอดเวลา เหวี่ยงวีนคนรอบข้าง 5.ไม่มีสติ ไม่มีสมาธิในการทำงาน เหม่อลอยมักทำงานผิดพลาด 6.ดื่มเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ 7.ไม่มีความสุข ร้องไห้ เศร้าเสียใจตลอดเวลา ปัจจัยที่ทำให้เกิดความเครียด 1.ครอบครัว และการเจ็บป่วย การสูญเสียคนที่รักไปอย่างกระทันหัน แฟนทิ้ง  การหย่าร้างการเจ็บป่วย การตายจาก ความโศกเศร้าเสียใจ ล้วนก่อให้เกิดความเครียด วิตกกังวล หากร่างกายอ่อนแอไม่ได้พักผ่อน เหนื่อยทั้งกายและใจไม่มีแรงสู้ อาจเกิดโรคซึมเศร้ามตามมา 2.ร่างกาย จิตใจ ด้านร่างกายและจิตใจ เช่น  ไม่มีเงินใช้จ่ายในครอบครัว ถูกกดดันจากครอบครัวเมื่อลูกขอเงินไปโรงเรียนไม่มีเงินใช้จ่าย […]

ท้องเสียกินอะไรได้บ้าง ห้ามกินอะไร

อาหารที่กินได้เมื่อท้องเสีย 1.กล้วย  ข้าวต้ม โจ๊ก  แอปเปิ้ล ขนมปังปิ้ง  2.เกลือแร่ ORS ใช้ดื่มเพื่อทดแทนน้ำและเกลือแร่ในร่างกายที่สูญเสียไปจากอาการท้องเสีย เพื่อทำให้ร่างกายของเราทำงานได้อย่างเป็นปกติ 3.โปรไบโอติก แบคทีเรียดี ได้แก่ -โยเกิร์ตมีส่วนผสมของโปรไบโอติก เพราะเชื้อแบคทีเรียตัวดี  จะช่วยการทำงานของลำไส้ได้ดี –ช็อกโกแลตดำ นอกจากจะช่วยให้อารมย์ดีแล้ว ยังช่วยบรรเทาอาการท้องเสียอีกด้วย 4.อาหารที่มีรสจืด ดังนั้นจึงไม่ทำให้ระบบย่อยอาหารแย่ลง นอกจากนี้ยังมีผลผูกพันเพื่อช่วยให้อุจจาระแข็งตัว 5.เครื่องดื่ม อิเล็กโทรไลต์ หรือ น้ำมะพร้าวที่มีวิตามินอิเล็กโทรไลต์ อาหารที่ควรหลีกเลี่ยงเมื่อท้องเสีย 1.นมและผลิตภัณฑ์จากนม บางคนอาจคิดว่ากินนมคงไม่เป็นอะไรหรอก แต่หากมีอาการท้องเสียแล้ว จะเกิดอาการปวดท้อง ท้องเสียหนักเข้าไปอีก และ ท้องอืด แน่นเฟ้อ ตามมา เพราะร่างกายไม่ยอมย่อยเลคโตสจากนม ร่างกายก็จะเกิดปฏิกิริยาบางอย่าง เพื่อที่จะพยายามย่อยเลคโตสให้ได้ จึงเป็นการฝืนกระบวนการของร่างกาย ทำให้ระบบการย่อยอาหารแปรปรวนนั่นเอง  2.อาหารทอด ควรงดอาหารประเภท ของมัน ของทอดไปก่อน เพราะอาหารทอดเป็นอาหารที่มีไขมันสูง ย่อยยาก  3.อาหารรสเผ็ด รสจัด ในพริกมีสารแคปไซซิน ทำให้อุณหภูมิสูงในร่างกายสูงขึ้นเมื่อดื่มน้ำไปมากๆ ร่างการไม่สามารถย่อยได้หมด และเป็นตัวกระตุ้นการทำงานกระเพาะและลำไส้ทำงานหนัก เมื่อกินน้ำเยอะๆ จึงมีอาการท้องเสียหรือถ่ายเหลว […]

10อาหารต้องห้ามยามมีไข้ ของแสลงทั้งนั้น!

อาหารต้องห้ามยามมีไข้ 1.เป็นไข้ห้ามกินลำไย กินลำไยทำให้เจ็บคอ เป็นไข้ เป็นคำเตือนที่ได้ยินมาตั้งแต่เด็ก กินลำใยเยอะจะเจ็บคอ มีไข้ ร้อนใน เพราะเป็นผลไม้ที่มีกำมะถันเยอะ เพราะจะเป็นเชื้อเพลิงอย่างดี ยิ่งทำให้อุณภูมิของร่างกายสูงมากขึ้น ไม่ควรกินช่วงมีไข้ และก่อนรับประทานควรล้างน้ำให้สะอาด เพราะเปลือกของลำไยอาจมีสารเคมีตกค้างได้ เช่น ยาฆ่าแมลง ควรล้างก่อนกินนะค่ะ 2.เป็นไข้ห้ามกินทุเรียน ทุเรียนเป็น“ราชาแห่งผลไม้” เพราะเนื้อทุเรียนมีคุณค่าทางอาหารสูง และให้พลังงานสูง แต่เมื่อมีไข้ ไม่ควรกินทุเรียนเพราะในทุเรียนมีกำมะถันสูง ทุเรียนเป็นผลไม้ที่กินเข้าไปแล้วทำให้เกิดความร้อนในร่างกาย อาจจะทำให้ร่างกายปรับอุณหภูมิไม่ทัน หากกินเข้าไปแล้วจะทำให้โรคที่เป็นอยู่จากเบาจะกลายเป็นหนักอาจจนถึงขั้นเข้าโรงพยาบาลหรือถึงแก่ชีวิตได้ ควรเว้นช่วงมีไข้ 3.ของมัน ของทอดกินได้ไหม ช่วงนี้ควรงด อาหารของทอด ของมัน เพราะอาหารเหล่านี้ต้องใช้พลังงานสูงในการย่อยอาหาร ยิ่งทำให้อุณภูมิสูงขึ้น อาจชักได้ 4.เป็นไข้ห้ามกินขนุน หากมีไข้ ปวดหัว ตัวเริ่มร้อน ควรหลีกเลี่ยงการกินขนุน เนื่องจากขนุนเป็นผลไม้ที่มีกำมะถัน เป็นผลไม้ที่เพิ่มความร้อนให้ร่างกาย และทำให้ไข้สูงขึ้น 5.เป็นไข้กินส้มตำได้ไหม เมื่อมีไข้ มักกินอาหารไม่อร่อย อยากกินอาหารเผ็ดๆ คิดถึงส้มตำแล้ว ส้มตำส่วนมากรสชาติจัดจ้าน อาหารรสเค็มจัด อาหารที่ใส่ผงชูรสมาก ๆ หากทานส้มตำไตจะยิ่งทำงานหนักเพิ่มขึ้นสองเท่า ช่วงที่มีไข้ร่างกายจะอ่อนแอ  ควรทานอาหารที่อ่อน […]

การย่างไฟvการย่างขี่หมา เมื่อเกิดอุบัติเหตุรถล้ม

  ในสมัยก่อนภาคอิสาน เมื่อถูกรถชน ตกต้นไม้ หรือ โดนกระแทรกอย่างรุนแรง เป็นภูมิปัญญาที่สืบทอดกันมาช้านาน ชาวบ้านเชื่อกันว่า การย่างไฟ เป็นวิธีการรักษาสุขภาพวิธีหนึ่งของการแพทย์พื้นบ้านภาคอีสาน ใช้รักษาผู้ป่วยที่ได้รับบาดเจ็บจากอุบัติเหตุ ซึ่งไม่สารถมองเห็นข้างในของร่างกายอาการอาจดูไม่ออก แต่อาจมีอาการเมื่ออายุเพื่มขึ้นก็ได้ การย่างไฟ  เป็นการใช้ความร้อนที่เหมาะสมผ่านตัวยาสมุนไพรเพื่อให้ออกฤทธิ์ และความร้อนไออุ่นจะทำให้น้ำมันหอมระเหยในสมุนไพรหากไม่ทำการย่าง คนเฒ่าคนแก่ภาคอิสานมักจะพูดกันว่า ตอนเกิดอุบัติเหตุไม่ยอมย่าง ไม่เชื่อฟัง เลือดลมร่างกายไม่ปกติ การย่างไฟ สมุนไพรและอุปกรณ์ในการย่าง 1.ใบมะขาม, ใบขี้เหล็ก, สะแกนา,ใบหนาด 2.เหล้าขาว 40 ดีกรี ประมาณ 30-40 มิลลิลิตร 3.น้ำตาลทราย 1-2 ช้อนโต๊ะ 4.แคร่ไม้ไผ่  5.ถ่านไฟ หรือ ถ้าเป็นไม้ควรใช้ไม้มะขาม ไม้ขี้เหล็ก 6.แผ่นสังกะสี 1 แผ่น 7. ครุถังใส่น้ำ 8.ผ้าห่มสองผืนสำหรับปู 1 ผืน และสำหรับคลุมร่างกาย 1 ผืน   วิธีการย่างไฟ แบบที่ 1 แบบละเอียด 1.นำแคร่มาวางไว้ที่โล่ง ก่อไฟด่านล่าง ใช้ถ่านหรือไม้ฟื้น […]

ทำไมถึงเมารถ 8 เทคนิคแก้อาการเมารถ

  ทำไมถึงเมารถ อาการเมารถ มีหลายคนคงเคยเจอกับเหตุการณ์นี้ บางคนเป็นตั้งแต่เด็กๆไม่หายขาด บางคนเป็นตอนโตแล้ว จะนั่งรถบัสปรับอากาศ หรือ รถยนต์ส่วนตัว เมารถตลอดพกถุงพลาสติ๊กติดกระเป๋าเป็นประจำกันเลยที่เดียว อาการเหล่านี้เกิดจากระบบประสาทการทำงานไม่สมดุลกัน เมารถ เกิดจากความไม่สัมพันธ์กันของประสาทตากับประสาทการทรงตัวในหูชั้นใน และได้รับการกระตุ้น เช่น นั่งรถข้างหลังมีการเหวียง เบรคที่รุ่นแรง กลิ่นน้ำยาปรับอากาศ สิ่งเหล่านี้ล้วนกระตุ้นให้เกิดอาการเวียนหัว คลื่นใส้อาเจียน 8 เทคนิคแก้อาการเมารถ 1.นั่งแถวหน้าของรถ หากสามารถเลือกที่นั่งได้ควรเลือกนั่งข้างหน้าหรือ โซนกลางรถ ไม่ควรนั่งแถวท้าย หากรู้ตัวว่าเมารถ เพราะนั่งท้ายของรถบัสหรือปรับอากาศ เเรงเวียงของรถจะอยู่ที่ท้ายรถ และการนั่งรถที่เหวี่ยงนานเกินไปยิ่งทำให้เกิดอาการเวียนหัวมากขึ้น และอวกในที่สุด 2.หยุดเล่นโทรศัพท์ หรือ อ่านหนังสือบนรถ ในขณะที่เดินทาง สายตาไม่ควรจดจ่อ จ้อง โทรศัพท์ หรือ อ่านหนังสือ บนรถนานๆ การจดจ่อบางสิ่งบางอย่างมากเกินไปจะทำให้อาการหนักกว่าเดิม 3.เปิดหน้าต่างรถ เปิดหน้าต่างรับลม ทำให้อาการเวียนหัวน้อยลงการมองออกไปข้างหน้าไกลๆ ทำใจให้เย็น ตั้งสติ เพื่อให้ประสาทสัมผัสค่อยๆ ปรับตัวให้ลืมว่ากำลังจดจ่อกับอาการวิ่งเวียนหัว เปิดหน้าต่างรับลมเย็นให้รู้สึกสดชื่น และลืมไปเลย 4.ดื่มน้ำอัดลม หรือ ลูกอม การจิบน้ำอัดลมสามารถช่วยลดอาการเมารถได้ […]